เหตุการณ์เหตุการณ์หนึ่งดูเหมือนจะเป็นจุดจบของทุกสิ่ง แต่เหตุการนั้นกลับเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่เท่านั้น
ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2011 หลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของวงการVocaloid ในการจัดงาน MIKUNOPOLICE วงการVocaloidที่กำลังอยู่ในยุครุ่งเรืองสุดยุคหนึ่ง เป็นยุคที่มีเพลงระดับตำนานเกิดขึ้นมากมาย เช่นSenbonzakura และ Kagerou Daze ทั้งในญี่ปุ่นผ่านทางNico Nico Douga และของทั้งโลกผ่านทางYoutube ที่ตัววงการได้เติบโตอย่างรวดเร็ว ก็ได้เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นกับวงการVocaloid บนYoutube ที่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของวงการนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคือมีกลุ่มผู้ไม่หวังดีกลุ่มหนึ่งแอบอ้างชื่อบริษัท Media Interactive และชื่อ Junichi Sasa ทำการแจ้งลิขสิทธิ์เท็จต่อเพลงVocaloidเป็นจำนวนมาก จนทำให้เพลงจำนวนมากต้องโดนลบไป ไม่ใช่เพลงVocaloid เท่านั้นแต่รวมถึงเพลงของศิลปินดังอื่นๆอีกมากมายเช่น Lady Gaga เป็นต้น แม้จะอยู่ในChannel อย่างเป็นทางการของตัวนักร้องเองก็ตาม
ต้องเข้าใจก่อนว่าอันที่จริงเพลงVocaloid นั้นลิขสิทธิ์ถือว่าอยู่กับผู้แต่งเพลง หรือค่ายเพลงที่เป็นเจ้าของเพลงนั้นๆ(ถ้ามี) หรือกับPiapro และส่วนใหญ่ก็มักจะยอมให้มีการอัพโหลดซ้ำโดยผู้อื่น แม้จริงๆจะถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ก็ตาม จะมีเพียงน้อยรายที่เข้มงวดเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์แต่ก็น้อยมาก (ตัวอณุสัญญาPiapro ระบุว่าผิดแค่การแอบอ้างผลงาน แต่ไม่มีระบุอย่างใดเรื่องการเผยแพร่ต่อโดยผู้อื่น แต่มีระบุไว้ว่าให้อิงกับหลักกฎหมายของญี่ปุ่น อาจนับเป็นละเมิดได้ ซึ่งค่ายอื่นๆก็ใกล้เคียงกัน) การแจ้งลบโดยเจ้าของถือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะเป็นการรักษาสิทธิ์ของเขา แต่ว่าในกรณีนี้ ผู้ที่ฟ้องกลับไม่ใช่เจ้าของลิขสิทธิ์ตัวจริง แต่เป็นผู้ไม่หวังดีแอบอ้างมาแทน ซึ่งก็จะไปเข้าเรื่องแอบอ้างผลงาน ที่ผิดเต็มๆในทุกด้าน
จากตอนนั้นจนถึงปัจจุบันก็ไม่มีใครรู้ว่าคนหรือกลุ่มนี้จริงๆแล้วเป็นใคร และในตอนนั้นก็ได้เกิดการถกเถียงอย่างหนักบนสังคมออนไลน์ทั่วโลกว่า "ใครเป็นคนทำ" ซึ่งแน่นอนว่าผู้ต้องสงสัยรายแรกๆย่อมเป็นไม้เบื่อไม้เมากับแทบทุกวงการของณี่ปุ่น "เกาหลีใต้" ซึ่งมีผู้คิดเห็นเช่นนี้เป็นจำนวนมาก เนื่องจากช่วงนั้นมีการโหวตว่า อยากให้นักร้องคนใดได้ขึ้นร้องในพิธีเปิด Olympic 2012 ณ กรุงลอนดอน (http://www.thetoptens.com/singers-perform-london-olympics-opening-ceremonies/) ซึ่งMiku มีคะแนนนำศิลปินเกาหลีทั้งหมดที่มีคนเสนอมา ทำให้เกิดกรณีสร้างความโกรธแค้นระหว่าง2วงการนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อทางเว็บได้ลบMikuออกจากรายชื่อด้วยเหตุผลที่ว่าเธอไม่มีตัวตนอยู่จริง และทางฝั่งวงการVocaloid มีผู้เชื่อว่าเป็นฝีมือ ของแฟนๆวงการK-pop ที่โกรธแค้นที่ Mikuได้คะแนนนำศิลปินที่ตนชื่นชอบ ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่มีตัวตนอยู่จริง ซึ่งทราบได้จาก Facebook ของแฟนๆศิลปินเกาหลีบางคนที่กล่าวออกมาในทำนองนั้น (ขออนุญาตไม่นำมาลงเนื่องจากเห็นว่าเป็นการไม่เหมาะสม แต่มีผู้บันทึกรูปโพสเหล่านั้นเก็บไว้บางส่วน) ซึ่งทางเว็บได้ถูกประท้วงจนเอากลับมาในอันดับ1อีกครั้ง ประกอบกับช่วงนั้นเป็นช่วงเปลี่ยนผลัดจากVocaloid 2 ไป Vocaloid 3 ทำให้มีผู้เพ่งเล็งไปยังSeeU Vocaloidตัวแรกของเกาหลี ซึ่งได้เกิดความหวาดระแวงว่าเป็นแผนการในการโปรโมต เพื่อเขี่ยMikuลงไป แล้วให้SeeU ขึ้นมาแทน และมีผู้สังเกตว่าเพลงทั้งหมดที่โดนลบไปนั้น เป็นคลิปที่ตั้งชื่อด้วยภาษาอังกฤษทั้งสิ้น จึงมีการตั้งข้อสัณนิฐานว่าผู้กระทำต้องการโยนความผิดให้กับบริษัท Media Interactive ตัวจริงซึ่งเป็นบริษัทญี่ปุ่น และมีการเชื่อมโยงแม้กระทั่งกรณีกฎหมายSOPA ของสหรัฐอเมริกา
แต่อย่างไรก็ตามไม่มีหลักฐานใดๆทั้งสิ้นมายืนยันว่าเกาหลีใต้เป็นคนทำ นอกจากการเชื่อมโยงดังกล่าว ที่อาจกลายเป็นแค่การจับแพะชนแกะก็ได้ โดยเฉพาะทฤษฎีSeeU ที่เป็นไปได้น้อยมากๆ และแหล่งทีมาของทฤษฏีเหล่านี้ก็มักมาจากเ ว็บไซด์ 2ch ที่ขึ้นชื่อเรื่องการเหยียดเชื้อชาติ และต่อต้านเกาหลี อีกทั้งยังมีมีประวัติโชกโชนเรื่องสงครามออนไลน์กับเกาหลี ทำให้ทฤษฎีเหล่านี้มีความน่าเชื่อถือน้อยมาก แม้ว่าแฟนศิลปินเกาหลีจำนวนหนึ่ง จะแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมจริง หลังเห็นผลโหวตOlympic 2012 แล้วก็ตาม
ในขณะที่สถานการณ์ดูตึงเครียดอยู่นั้นความกลัวในวงการVocaloid ที่ว่า "Miku กำลังจะหายไป" ซึ่งอาจหมายถึงการล่มสลายของตัววงการ ทำให้มีเพลงๆหนึ่งกลับขึ้นมาดังจากการถูกนำไปโปรโมตแคมเปญ Save Miku ที่มีเพื่อเรียกร้องไม่ให้Mikuต้องหายไป มันคือเพลง初音ミクの消失 -DEAD END- (Disappearance of Hatsune Miku -DEAD END- ,การหายตัวไปของ Hatsune Miku) ของcosMo ในซีรีส์ infinitY ซึ่งแต่เดิมมีชื่อในด้านการเป็นเพลงความเร็วสูง แต่จากการเกิดเหตุการณ์นี้ ทำให้เพลงนี้ได้รับความนิยมมากกว่าเดิม จากการที่ถูกใช้ในการโปรโมตแคมเปญ Save Miku และมีเนื้อหาสอดคล้องกับเหตการณ์ ซึ่งเพลงนี้มีบางคนเข้าใจผิดว่าเพลงนี้แต่งเมื่อปี2009 เมื่อเกิดเหตุการคล้ายๆกันนี้ คือตอนปี2009 เพลงVocaloid จำนวนมากบนYoutube ได้ขึ้นข้อความว่า "เกิดข้อผิดพลาด" เหมือนกับเนื้อเพลงในฉบับเต็ม เมื่อพยายามเล่นวิดีโอ ทั้งๆที่ความจริงแต่งไว้ตั้งแต่ปี2007 และฉบับเต็มที่มีข้อความนี้มาในปี2008
ถึงแม้ว่าทาง Google ในฐานะเจ้าของYoutube และ Crypton ในฐานะเจ้าของMiku และผู้เสียหาย ได้จับมือกันแก้ปัญหานี้ได้ในระดับหนึ่ง แม้ว่าจะหาตัวการตัวจริงไม่ได้ และทาง Media Interactive ตัวจริงก็ได้แถลงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ตาม ความโกรธแค้นของแฟนๆยังไม่จบลง ทำให้มีการลากเรื่องยาวไปอีกหลายเดือน
แต่ปัญหาส่วนหนึ่งที่ทำให้ความโกรธแค้นนี้ไม่จบลง กลับเกิดจากตัวCryptonเอง ซึ่งหลังจากคอนเสิร์ต MikuPa และ 39's Giving Day ปี2012 สำนักข่าวรอยเตอร์ได้บอกว่า Miku อาจจะเลิกแสดงสด (ณ จุดนี้ข้าเจ้าได้พบว่าบทความของทางAkibatan มีการแปลคลาดเลื่อน จึงไปอ่านที่ตัวต้นฉบับโดยตรง) ทำให้เกิดคำถามมากมายที่ทำให้ประเด็นนี้ยังคุกรุ่น และทางCrypton ก็ได้ให้คำตอบว่า จะให้นักร้อง(Vocaloid)ได้พักสบายๆสักหน่อย แต่มันก็ได้ทำให้เกิดความเข้าใจผิดจากการตีความ ทำให้เหล่าแฟนๆนึกว่าMiku จะหายไปจริงๆ (ความจริง Crypton ได้ลงไปจัดการปัญหาแล้วตั้งแต่เดือนกุมภาฯ 1เดือนก่อนหน้านั้น) ซึ่งความจริงความหมายที่ทาง Crypton ต้องการสื่อน่าจะหมายถึง การทิ้งช่วงระหว่าง39's Giving Day ในเดือนมีนาคม และงานANGEL Project ที่เป็นคอนเสิร์ตต่อเนื่องในกันยายนปีเดียวกันมากกว่า ซึ่งก็ทิ้งช่วงให้พักไปถึง6 เดือน ต่างจากปี2011 ที่จัดแทบเดือนเว้นเดือนเลยทีเดียวนับจากต้นปียันปลายปี
ในที่สุด เหตุการณ์ทั้งหมดก็สงบลงจากความร่วมมือของหลายๆฝ่าย แม้ว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ยังมีการลบเพลงVocaloid ในYoutube บ้างแต่ก็มักเกิดจากตัวVocaloid-Pบางคน หรือค่ายเพลงบางค่าย หรือบางคลิปที่สงวนลิขสิทธิ์การเผยแพร่ และอาจทำให้คลิปอื่นๆในชาเนลโดนหางเลขโดนลบตามไปด้วยพร้อมกับการแบนชาแนล แต่ก็ยังสามารถตรวจสอบได้ และยังสามารถแจ้งได้ถ้ามันเป็นการแอบอ้างเช่นกรณีนี้
แม้ว่าเรื่องจะจบไปแล้วก็ตาม แต่มันก็เป็นทั้งจุดเปลี่ยนและบทเรียนให้กับทุกคน มองในด้านหนึ่งมันทำให้ไฟในวงการVocaloid ถูกทำให้โหมหนักขึ้นอีกครั้ง ทำให้แฟนๆมีความรักในตัวVocaloidอย่างเหนียวแน่นยิ่งขึ้น แต่ในอีกด้านก็ทำให้เราได้รู้ว่าความรักพร้อมจะแปรเปลี่ยนเป็นความบ้าคลั่งได้ทุกเมื่อ และจะทำให้ปัญหาต่างๆดูใหญ่กว่าความเป็นจริงจากความตื่นตระหนก และสามารถสร้างความแตกแยกกันได้ ดังนั้นควรมีสติให้ดีว่าควรจะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหา ไม่ใช่ตื่นตระหนกตีโพยตีพายไว้ก่อน จนเรื่องบานปลายเกินกว่าที่เป็นจริง ซึ่งความจริงข้อนี้ถูกพิสูจมาแล้วหลายๆครั้ง ไม่ใช่แค่ในวงการVocaloid เท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับหลายๆเรื่อง หลายๆครั้งมากมายนับไม่ถ้วน
แต่ขอตั้งข้อสังเกตเล็กน้อยก่อนจบบทความนี้ ทั้งเว็บไซด์และหนังสือภาษาญี่ปุ่น ไม่มีแหล่งใดเลยที่กล่าวถึงเหตุการณ์นี้แม้เพียงแหล่งเดียว ส่วนหนึ่งคาดว่ามาจากที่ในญี่ปุ่นนั้นใช้Nico Nico Douga เป็นหลักมากกว่า Youtube จึงทำให้การลบวิดีโอในYoutubeไม่กระทบต่อความนิยม และตัววงการในญี่ปุ่นแต่อย่างใด และทาง Nico Nico Douga แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดเหตการณ์เช่นนี้ขึ้น เพราะวิดิโอนั้นตัวผู้สร้างเป็นผู้เผยแพร่เองโดยตรงเสียส่วนใหญ่ จึงแทบไม่มีการลบออกไปเลย เว้นกรณีไม่เหมาะสม หรือมีการละเมิดลิขสิทธิ์อย่างร้ายแรง เช่นการลอกเลียนผลงานเป็นต้น
อ้างอิง
http://vocaloid.wikia.com
http://www.animenewsnetwork.com/
http://www.vocaloidotaku.net/index.php?/topic/28016-media-interactive-inc-fake-copyright-holder-deletes-vocaloid-videos/
http://akibatan.com/2012/02/clip-hatsune-miku-taken-down-overseas/
http://www.mikufan.com/stop-posting-save-miku-topics-and-videos/
http://www.latimesmagazine.com/2012/06/i-sing-the-body-electric.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น